วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ชีวิตลูกจ้างริจะทำเกษตรพอเพียง

การทำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ของในหลวง ได้รับการกล่าวขานในหมู่เพื่อนร่วมงานบ่อยครั้งขึ้นในช่วงนี้ บางคนก้าวไกลเริ่มคิดที่จะเข้าอบรมกับศูนย์ความรู้ชุมชน เพื่อนำความรู้ที่ได้มา มาปรับใช้กับตนเอง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจ หวนกลับมามีปัญหาเฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อน ชีวิตลูกจ้างปัจจุบันไม่สู่ที่จะมั่นคงนัก มีความคาดหวังสูงมาก จะทำงานแบบเดิมๆแนวเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว ถูกกดดันอย่างหนัก เท่าที่สังเกตุพนักงานระดับผู้จัดการนั้นถูกมอบหมายงาน ถูกสั่งให้คิดงานใหม่ๆ มีการประชุมดูแล้วอดหนักใจไม่ได้กับภาระหน้าอันล้นบ่าเช่นนี้ บริทที่ผมทำงานอยู่เป็นบริษัทที่ส่งออกเป็นส่วนใหญ่ โดยฐานะก้ไม่ได้กระทบกับวิกฤติเศรษฐกิจนี้มากนัก แถมออเดอร์ล้นหลั่ง ผลิตแทบไม่ทัน ถ้าคิดในแง่บวกก็ถือว่าดีไป ดีกว่ามานั่งกังวลเรื่องไม่มีงานเนื่องจากไม่มีออเดอร์เข้ามา

พอความกดดันเข้ามา หลายคนเริ่มที่จะกังวลกับตำแหน่งหน้าที่ กลัวทำงานไม่เข้าเป้า กลัวถูกโละออกจากงาน เป็นสิ่งที่ผมได้ฟังบ่อยๆจากเพื่อนพนักงาน โดยเฉพาะช่วงที่พักรับประทานอาหารเที่ยง งั้นทางออกที่เราทุกคนเห็นดีด้วยนั้นคือการกลับไปสู่การอยู่อย่างพอเพียง พูดอย่างเดียวคงไม่ดีแน่ บางคนเริ่มที่จะหาที่ดินเพือรองรับอะไรที่ไม่แน่นอนที่อาจจะตามมา

สำหรับผมแล้วการอยู่อย่างพอเพียงเป็นวิธีการที่ถูกต้องแน่ แต่ปัญหาจะพำอย่างไร ในเมื่อดึงเงินในอนาคตมาใช้เสียก่อนแล้ว ณ ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคือการทำงานต่อไปเพื่อไปใช้หนี้ที่คงคั่งค้างพอสมควร หากปุ๊ปปั๊บไปทำเกษตรเลยมีหวังอดตายแน่นอน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ทำอะไรเลย จากจุดนี้เองผมเริ่มที่จะสะสมที่ดินขึ้นมาบ้างแล้ว ปีที่แล้วได้มาสองไร่ ปีนี้เพิ่งไปวางมัดจำอีก 3 ไร่ ใช้เงินพอสมควร แต่คิดว่าเงินค่าที่ส่วนหนึ่งก็จะเอาจากสวนยางมรดกของคุณพ่อและคงเอาโบนัสปลายปีนี้มาจ่ายหมดแน่นอน (ถ้าไม่ชิงลาออก)